วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โอทูสู่ปีที่ 9 ผลิตภัณฑ์ใหม่ โอทูซุปเปอร์พรีเมี่ยม


สู่ปีที่ 9 ‘โอทู’เนรมิตสำนักงานใหญ่
ขยายโรงงานสู่เมืองกรุงมูลค่าร่วม 200 ล้าน.


ครบ 8 ปี เข้าสู่ปีที่ 9 บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บุคคลที่ร่วมพูดคุยกับเราในวันนี้ นั่นคือ บอสใหญ่ ฉัตรชัย ประเสริฐสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ที่จะถ่ายทอดยุทธศาสตร์ผ่านปลายปากกาเล่มนี้

ก่อนอื่นขอย้อนอดีตกลับไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ หากเทียบกับปีนี้ที่มีน้ำท่วมเหมือนกัน ผมจำได้ว่า ช่วงนี้ของปีที่แล้ว จ.อยุธยา อ.บางปะหัน น้ำได้ท่วมหนักไปแล้ว ปัจจุบันไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ ถึงแม้จะท่วมก็มีบางพื้นที่ที่เป็นทางผ่านของน้ำ หรือพื้นที่ที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำ แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับ โอทู เพราะน้ำที่ท่วมไม่ได้กินบริเวณกว้างอย่างเช่นที่ผ่าน ๆ มา

ดังนั้น ก้าวสู่ปีที่ 9 โอทู ก็ถือเป็นการบ้านที่ไม่หนักเหมือนปีที่ผ่านมา และก็ได้มีการเปลี่ยนกล่องสินค้าใหม่ ยังคงเน้นย้ำความเป็นออแกนิค เพราะได้เปิดตัวสินค้าใหม่ โอทู ซุปเปอร์ พรีเมี่ยม ออแกนิค โดย ดร.สยามรัฐ ป้านภูมิ นักวิจัยเป็นผู้ค้นคิดสูตรใหม่ขึ้นมา พร้อมเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับผู้นำที่มาร่วมงานงานฉลองครบรอบและจัดสัมมนาประมาณ 250 คน เพื่อเอาสินค้าตัวนี้ออกไปกระจายภายใต้เครือข่ายตัวเอง

ก้าวสู่ปีที่ 9 เรามีตัวแทนศูนย์จำหน่าย 250 ศูนย์ สิ้นปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพราะเรามีกลยุทธ์ที่มีการปรับเปลี่ยน ทั้งในส่วนของการตลาดและสมาชิก คือจะมุ่งเน้นคนที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น เมื่อเขาประสบความสำเร็จมาก ยอดขายก็จะตามมามากเช่นกัน ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจภายใต้เป้าหมายใหม่ จึงมุ่งสร้างให้คนประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม และจะไม่มุ่งเน้นที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว
ซึ่งขั้นตอนแรกของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ การแต่งตั้งผู้ร่วมบริหารขึ้นมา 11 คนด้วยกัน โดยให้พวกเขาก้าวขึ้นมามีบทบาท สืบเนื่องจากผู้นำเหล่านี้คลุกคลีอยู่กับเครือข่ายที่มีสายงานจำนวนมาก ก็ย่อมรับรู้ปัญหาเครือข่ายของตนเองเป็นอย่างดี ฉะนั้น จึงต้องใช้หน้าที่บุคลากรคุณภาพกลุ่มนี้ไปบริหารคน เพื่อต้องการความสำเร็จให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยกลุ่มผู้นำทั้ง 11 คน สามารถบริหารให้ครอบคลุมและดูแลไปทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี
อีกโจทย์หนึ่งที่มีการลงมติร่วมกันในที่ประชุม นั่นก็คือ ฝ่ายตลาดหรือฝ่ายบริหารร่วม ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจกับ โอทู อยากให้เขามองว่า เรามีความพร้อม ณ ปัจจุบันอาคารสำนักงานใหญ่ยังมีขนาดเล็ก และที่สำคัญยังมีที่จอดรถไม่เพียงพอ จึงอยากจะเพิ่มความสะดวกสบาย ตรงนี้เราก็มีนโยบายการจัดการให้เร็วที่สุด
ซึ่งก็ต้องบอกว่ามีแปลนสร้างสำนักงานใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ส่วนโรงงานผลิตก็ยังตั้งอยู่ที่เชียงราย ก็ได้หารือกับ ดร.สยามรัฐ ว่าเราจะย้ายฐานการผลิตมาที่กรุงเทพมหานครด้วยได้หรือไม่ เพราะเรามีพื้นที่ 3 ไร่ สามารถสร้างโรงงานการผลิต และสำนักงานในที่เดียวกันที่กรุงเทพมหานครแห่งนี้ โดยวางงบประมาณก่อสร้างในขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 150 - 200 ล้านบาท 

เมื่อแผนการตลาดถูกพลิกมิติใหม่ สินค้าก็ถูกพลิกมิติใหม่ตามที่กล่าวมาข้างต้น เพราะผลิตภัณฑ์ โอทู ซุปเปอร์ พรีเมี่ยม ออแกนิค ที่ถูกคิดค้นขึ้นมา วิวัฒนาการของตัวสินค้าก็จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะคิดค้นและพัฒนาไปเรื่อย ๆ รวมถึงสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ ดร.สยามรัฐ ในฐานะนักวิจัยก็จะใช้เวลาว่างในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เพื่อจะดึงสมาชิกให้เข้ามาทำ โอทู ได้หลากหลายมากขึ้น
และที่สำคัญสินค้าบางตัวจะมีการปรับลงมาเป็นไซด์มินิ จากไซด์ที่มีขนาดใหญ่ เหตุผลก็เพราะว่า เกษตรกรบางรายมีที่ดินแปลงเล็ก - ใหญ่ ไม่เท่ากัน การปรับไซด์ตรงนี้จึงเหมาะสำหรับคนมีที่แปลงเล็กขวดเดียวใช้ได้ประมาณ 25 ไร่/ครั้ง ส่วนขวดใหญ่ก็ใช้ได้ประมาณ 50ไร่/ครั้ง หากมีที่ดินแปลงเล็ก ก็เท่ากับเป็นการสนองความต้องการของเกษตรกร บางคนจากที่เคยซื้อขวดใหญ่เหลือใช้ไม่หมด ฉะนั้น เราจึงมีขวดเล็กเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของ โอทู แต่ตรงนี้ก็มีการปรับใช้มานานแล้ว ผลตอบรับก็ดีเกินคาด เพราะเกษตรกรสามารถเซฟต้นทุนได้ดี

ส่วนศูนย์บริการ โอทู ก็ยังเปิดรับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้ามีคนสนใจก็สามารถติดต่อแม่ทีมหรือทางศูนย์จะขึ้นเบอร์โทรผ่านทางสถานี IN TV และ TVD ถ้าใครสนใจก็ติดต่อมาได้เลยทันที ประเด็นสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทาง โอทู ให้ความสำคัญ นั่นคือ ระบบการฝึกอบรม ที่มีการปรับระบบใหม่ให้เข้มข้น เพื่อสอดรับกับยุทธศาสตร์ใหม่

ด้วยการวางระบบอบรม OPP และระบบ OPF ถ้าเป็นระบบ OPP ก็จะมุ่งเน้นการขาย ส่วนระบบการอบรมแบบ OPF จะมุ่งเน้นด้านการขยายงานเครือข่าย เพื่อเติมเต็มให้คนมีความรู้ เติมประสิทธิภาพลงไปมากขึ้น มุ่งเน้นคุณภาพ เน้นการขยายเครือข่ายที่สามารถสร้างงานสร้างคนให้เก่งได้ บริษัทก็มีระบบที่รองรับแบบพร้อม 100% ซึ่งจำเป็นต้องเน้นให้สมาชิกทำงานเป็นทีม ทำงานอย่างมีคุณภาพ เพราะสินค้า โอทู เป็นสินค้าที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะว่าพืชแต่ละชนิด ดินแต่ละแห่ง

เราจะต้องไปสำรวจก่อนว่า พอใช้สินค้าเราแล้วได้ผลแค่ไหน พืชชนิดไหนต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ ถึงจะได้ผลดี ถ้าไปแนะนำแบบผิด ๆ ถูก ๆ  หากพืชมีปัญหา ก็จะทำให้เกิดผลลบต่อบริษัทคืนกลับมา นั่นหมายความว่า การอบรมต้องเกิดประโยชน์ สมาชิกต้องอธิบายได้อย่างชัดเจน และเป็นไปตามโฆษณาที่เราพูด คือใช้สินค้าแล้วต้องชัดเจน ช่วยปัญหาชาวไร่ - ชาวนาได้จริง

ซึ่งถ้าแผนงานที่วางไว้ประสบความสำเร็จ โดยใช้ยุทธศาสตร์การขาย + ขยาย เน้นการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพกับคน แต่จะไม่มุ่งเน้นขายของอย่างเดียว เพราะเราต้องรับผิดชอบสินค้าของเราพอสมควร ฉะนั้น การเซ็ท ระบบ OPF ก็เหมือนกับเราสามารถบริหารคน บริหารสายงานของคุณได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยุทธศาสตร์เก่งคน - เก่งงาน 

สำหรับเป้าหมายที่เคยวางไว้ ก็จะไม่กว้างเหมือนในอดีต นั่นหมายความว่า เราได้ตั้งเป้าหมายของเราแคบลง เหตุผลก็เนื่องจาก โอทู ผู้ที่สำเร็จระดับสูงสุดในตำแหน่ง CDM 1 - 3 ณ ปัจจุบันมีอยู่กว่า 3,000 คน เราก็เอาคนเหล่านี้มาปรุงให้เก่งให้เกิดคุณภาพ ให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม และจะไม่เอายอดขายนำอีกต่อไป แต่เราจะเอาความสำเร็จของสมาชิก ของคนในองค์กรนำ สุดท้ายยอดขายก็จะโตตามเองในที่สุด

ส่วนแผนในการจัดงานเกียรติยศที่จะจัดขึ้นในต้นปีหน้านี้ ก็จะย่อส่วนลงเช่นเดียวกัน โดยจะให้ความสำคัญกับผู้นำที่ก้าวขึ้นตำแหน่ง CDM 1 - 3 เพื่อเป็นการจัดงานเชิดชูเกียรติให้กับนักขายเกียรติยศโดยตรง เป้าหมายของเราจึงแคบลง เพราะเราให้เกียรติผู้นำ โอทู ที่ประสบความสำเร็จ และปีหน้าจะเห็นโฉม โอทู ภายใต้มิติใหม่อย่างแน่นอน บอสใหญ่ ฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย

บอร์ดบริหารที่สำคัญอีกคนหนึ่ง ที่เป็นเครื่องจักรกลคนสำคัญที่ขับเคลื่อน โอทู ไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ นั่นคือ บอร์ดบริหาร ภนเอก สะอาดวงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร ที่จะมาปูพรมยุทธศาสตร์สู่ปีที่ 9 โอทู น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกมาก ลองมาศึกษายุทธศาสตร์คร่าว ๆ ดังนี้คือ
ยุทธศาสตร์สำคัญของ โอทู ในระบบขายตรง ถูกแบ่งออกเป็น 3 เซ็ทด้วยกัน คือ บริษัท สินค้า และแผนการตลาด บริษัทก็ได้เซ็ทระบบลงตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม ส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่เพิ่มให้กับสมาชิก ตรงนี้ต้องบอกว่าลงตัวแล้ว ซึ่งจริง ๆ เราจะมีการประกาศยุทธศาสตร์อีกครั้งในเดือนมกราคม ปี 2556 เพราะเราวางระบบและยุทธศาสตร์ของเราได้เข้าที่และแน่นปึกเป็นที่สุด

ถึงแม้จะมีติดขัดบ้างในช่วงแรก แต่เมื่อเราปรับเปลี่ยนระบบใหม่ในปี 2556 ก็เท่ากับว่ายุทธศาสตร์ที่มีการปรับในวันนี้ก็จะรันเต็มตัวในปีหน้า ซึ่งทุกอย่างจะลงตัวหมด เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา เราก็มีการเรียนรู้ทุก ๆ อย่าง ตอนนี้เราพร้อมแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สร้างความพร้อมให้เกิด นั่นก็คือ ตัวสินค้า เพราะระบบจะเดินไปได้สินค้าก็ต้องดีเลิศและเป็นที่ต้องการในท้องตลาดและเกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้สินค้าที่เราทำตลาดมา 4 - 5 ปี ทุกอย่างดีมาก ๆ เราจึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเรามีนักวิจัยที่สามารถค้นคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่มีการถอยหลัง มีแต่พัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ดังนั้น ส่วนตัวบริษัทกับสินค้าก็ต้องเดินคู่กันไป ส่วนเรื่องระบบก็จะมีการปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างที่ท่านประธานฯ บอก ทำอย่างไรให้สมาชิก 100 คน สามารถขยายเครือข่ายได้ 1,000 คน นี่คือโจทย์ที่จะก้าวสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง

ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 - 8 ปีที่ผ่านมา เราปูพื้นไว้หมดแล้ว สินค้าเราก็เป็นที่รู้จักกับคนทั่วไป ซึ่งก็ไม่ยากที่จะดึงสมาชิกใหม่เข้ามา เมื่อแบรนด์ถูกสร้างให้ติดตลาดมานานแล้ว ฉะนั้น โจทย์ต่อไปจะสร้างให้ผู้นำจากที่ประสบความสำเร็จ 100 - 200 คน ทำอย่างไรในปี 2556 ขยายไป 1,000 คน สำหรับผู้นำเงินล้าน ซึ่งเราก็จะเริ่มจัดการที่ 100 คนแรกก่อน เพื่อที่จะขยายให้สำเร็จสู่หลัก 1,000 คน ตรงนี้ก็จะเพิ่มยุทธศาสตร์เข้าไปช่วยให้สำเร็จตามเป้าหมาย
สำคัญที่สุด วันนี้ในภาคปฏิบัติผมยังคงทำหน้าที่ลงภาคสนามลงไปคลุกกับรากหญ้า ไปคลุกกับผู้นำท้องถิ่น เพราะผมเป็นคนชอบเรื่องเกษตร ชอบลงพื้นที่ อยากเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยมือ เพราะฟังจากเขาพูดก็เดาไม่ออกว่า มันดีจริงมั้ย เมื่อทดลองใช้กับพืชชนิดนี้ ได้ผลดีรึเปล่า ต้องมีการทดสอบด้วย ถือว่าเป็นการเยี่ยมเยียน ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน ก็จะมีวิธีการใช้แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง อ้อย เมืองกาญจน์ กับอ้อย อุดรธานี มันต่างกัน เพราะพืชมันทนแล้งผิดกัน ข้าว พืช ผลไม้ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน ยุทธศาสตร์จึงถูกปรับเปลี่ยนด้วยการลงพื้นที่เอง เพื่อแก้ปัญหาทุกอย่างอย่างถูกต้อง

ทุกวันนี้ โอทู จึงไม่มีปัญหาเรื่องสินค้า เพราะเราไม่ใช้ระบบสั่งการ เราบริหารเป็นระบบจากข้างล่างขึ้นบน การทำอย่างนี้ทำให้เรารู้ปัญหา รู้ผู้นำทุกคนว่าจะแก้ไขอย่างไร แต่บางบริษัทอาจเน้นระบบสั่งการอย่างเดียว ก็ทำให้ไม่ค่อยรับทราบปัญหาที่แท้จริงเท่าที่ควร
เมื่อทุกยุทธศาสตร์ถูกกากบาทถูก ถามว่าแล้วยอดขายจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ตอบได้เลยว่า เมื่อเราวางระบบสำเร็จอย่างน้อย ๆ ยอดต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และคงเติบโตคงไม่หนีห่างจากปีที่ผ่านมาเท่าไหร่ หรืออาจจะตกลงสักเล็กน้อย และต่อจากนี้ไปคงทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านศูนย์จำหน่าย ปกติผู้นำจะมีศูนย์จำหน่ายเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้จะปรับใหม่ไม่ทำแบบเดิม เพราะเราต้องการขยายศูนย์ไปตามจังหวัดใหญ่ ๆ ใน 77 จังหวัด จากนี้ต่อไปแต่ละศูนย์ที่เปิดขึ้นจะเป็นเครือของ โอทู และจะต้องเปิดเป็นศูนย์ของบริษัท แผนงานนี้จะรันหลังจากมีการสร้างสำนักงาน โรงงาน เสร็จ ก็จะขยับภาพลักษณ์ศูนย์เป็นแผนต่อมา และจะปรับให้เป็นศูนย์อินเตอร์ด้วย เพื่อจะได้ป้อนคนเข้าระบบ ถามว่าถ้าเรามีศูนย์ทั่วประเทศและทำได้เหมือนบริษัท ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ยอดขายไม่โต ถามว่าแล้วทำไมถึงกล้าลงทุนขนาดนั้น ก็เพราะตัวสินค้าเราขายได้ เกิดการซื้อซ้ำ แต่ถ้าเล่นสินค้าตามกระแส พอกระแสหดสักแป๊บนึงก็ถึงจุดอิ่มตัว
ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ก็จะมีการเติมไลน์ลงไปตลอดเวลา ส่งผลให้ยอดผู้นำที่สำเร็จเพิ่มขึ้นตามมา เพราะเรามีสินค้าหลักที่ไม่ใช่สินค้ากระแสนำร่อง ฉะนั้น 8 ปีจึงมีความหมายกับเราทุกคน เพราะมันพัฒนาจาก 1 เหมือนกันหมดทุกคน นี่คือความมั่นคงของเรา ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน  สินค้า ศูนย์ฝึกอบรม นั่นคือ การเติมเต็มชีวิตของผู้นำและสมาชิกให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากถามว่า ณ นาทีนี้ การเติบโตของ โอทู กระจายไปทั่วประเทศหรือยัง ต้องบอกว่า ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะบางพื้นที่อย่างภาคใต้ยังไม่ได้เปิดฐาน ยังคงกระจุกอยู่ที่เดียว ทั้ง ๆ ที่ภาคใต้มีพืชเศรษฐกิจเยอะ ก็จะต้องเปิดพื้นที่บุกกันต่อไป เพราะ 8 ปี ที่ดำเนินการมา เรายังเดินไปไม่ทั่วประเทศ แม้ว่ายอดขายจะแตะเกิน 1,000 ล้านบาทแล้วก็ตาม ก็ยังคงมีพื้นที่ที่ยังไม่เข้าไปเจาะอีกมากมายหลายแห่ง ภายใต้สินค้าหลัก 2 ตัว นั่นคือ สินค้าเกษตร และสินค้าคนเมืองอย่าง F2 ก็ยังไม่มีแผนเพิ่มไลน์สินค้าตัวอื่นแต่อย่างใด

นักวิจัยและค้นคว้าคนสำคัญที่นำพา โอทู ก้าวสู่บันไดแห่งความสำเร็จ นั่นคือ ดร.สยามรัฐ ป้านภูมิ ที่ปรึกษาและนักวิจัย บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้มีคำถามมากมายเหลือเกินว่า ยังเป็นผู้ผลิต คิดค้น และวิจัย ให้กับ โอทู อีกหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ผมเป็นนักวิจัยอยู่ที่ โอทู มา 5 ปี ขอให้สมาชิกเชื่อมั่นได้เลยว่า ผมยังอยู่ที่นี่ สาเหตุที่ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อย ก็เพราะว่าติดภารกิจอยู่ที่โรงงาน จ.เชียงราย

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมผลิตสินค้าเกษตรให้กับ โอทู มีทั้งหมดอยู่ 6 ตัวจนถึงปัจจุบัน เป็นของพืช 5 ตัว สัตว์อีก 1 ตัว สำหรับพืช 5 ตัวเป็นที่รู้จักกันดี เพราะมีการโปรโมทบ่อยมาก ส่วนสินค้าสำหรับสัตว์ 1 ตัว ไม่ค่อยได้เผยแพร่ซักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าสินค้าพืชมี 5 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ฟลาโวเจน, ฟลาโวก้า, ฟลาโวนิน, พรีเมี่ยม และล่าสุด โอทู ซุปเปอร์ พรีเมี่ยม เป็นตัวออแกนิค 100% เพื่อให้เกษตรกรสะดวกในการใช้ คนใช้ไม่ต้องผสมทีละตัว คนขายแนะนำคนซื้อได้ง่าย ๆ จึงเป็นการรวมสูตรจาก 4 ขวดไว้ในขวดเดียว ซึ่งถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมสินค้าทางการเกษตรตัวใหม่ที่น่าจับตามองทีเดียว โดยในช่วงแรกจะออกเป็นตัว 500 cc และอีกซักปีเราก็จะมีขวดเล็กลอนซ์ตามมา

โอทูเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติหมายความว่าไม่ใช่สารที่เป็นพิษคือเป็นสารธรรมชาติ 100% คนที่ใช้มั่นใจคนที่กินมั่นใจโดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีสารเคมีอยู่ในแปลงพืชที่เรากินใช้รวมถึงยังเป็นผลดีต่อธรรมชาติถามว่าการนำเอาสูตรทั้ง 4 ตัวมารวมกันในขาดเดียวจะมีปฏิกิริยาต่อกันหรือไม่คำตอบคือไม่เพราะว่าสารทั้งหมดเป็นสารธรรมชาติเมื่อเอามารวมกันจะไม่เกิดปฏิกิริยาใดต่อกัน

สังเกตได้จากการนำเอาสมุนไพรหลายชนิดมารวมกันนับ 100 ชนิด สมุนไพรแต่ละชนิดก็ยังออกฤทธิ์อยู่เหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติรวมกัน ก็ยังเกิดประสิทธิภาพ แต่ถ้าเป็นเคมีเอามารวมกันเมื่อไหร่ ก็จะเกิดการตกตะกอนชนกัน ก็เท่ากับว่าหมดฤทธิ์ไปเลย แต่ถ้าเป็นสินค้าของเราตัวนี้ เมื่อมีการนำมารวมกัน ก็จะเกิดประสิทธิภาพเป็นดับเบิ้ลมีคุณภาพมากกว่าเดิม 4 เท่าตัว โดยสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ถ้ายิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่อง ถามว่าจะเกิดการเพี้ยนหรือไม่ ซึ่งถ้าเราควบคุมดีมีหลักในการวิจัย ก็จะได้มาตรฐานตลอด แต่ถ้าเราไม่มีขั้นตอนการควบคุมที่ดี สินค้าก็อาจจะด้อยประสิทธิภาพลงได้ หรืออาจเพี้ยนลงได้เช่นกัน

สำหรับสินค้าตัวใหม่นี้ตอบโจทย์เกษตรกรได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งพืชให้โตเร็วกว่าปกติ 2 - 3 เท่า สามารถป้องกันแมลงได้ ปรับปรุงดิน ป้องกันดินได้ด้วย หรือพืชที่หล่นลงไปในดิน ดินก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วย สรุปว่า ฟลาโวกาปรับปรุงดิน, ฟลาโวนิน ป้องกันแมลง, ฟลาโวเจน หรือ พรีเมี่ยมช่วยเร่งเซลล์ เป็นต้น เพราะงานวิจัยตัวแรกที่คิดค้นขึ้นมา ก็ถือว่ายากสุด แต่สำหรับการพัฒนาสูตรใหม่ในตัวต่อ ๆ ไปก็ถือเป็นเรื่องง่ายครับ 
สำหรับผลงานการวิจัย ผมจะไม่หยุดอยู่กับที่ และต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดเสมอว่า จะต้องมีสินค้าที่ดีกว่านี้อีก อย่างเช่น สินค้าตัวเดียวใช้ได้แทบทุกอย่าง แม้กระทั่งปุ๋ย ใบ ดอก ผล ราก ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี หรือว่าเราอาจจะใช้ปุ๋ยมาสกัดอย่างละเอียด แล้วเอามาผสมกับผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสรรค์สินค้าให้สมบูรณ์แบบขึ้นมา คือเป็นเคมีที่ปลอดภัยไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม คิดว่านวัตกรรมชิ้นนี้คงออกมาในปี 2557 ก็ทำให้หลากหลายมากขึ้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ใช้ บางคนอาจจะใช้เป็นผง เพื่อความสะดวกในการขนส่ง เราสามารถเปลี่ยนของเหลวให้เป็นผงได้ หรือเป็นสเปรย์ก็ได้เหมือนกัน ที่สำคัญยังส่งออกไปทั่วโลกได้อีกด้วย
ดร.สยามรัฐ กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือ AEC ในปี 2558 ต้องบอกว่า นักวิจัยเกษตรกรไทยเรียกว่า เป็นจ้าวตลาดเกษตรของไทยมาอันดับ 1 ซึ่งสามารถแข่งขันในตลาดอาเซียนได้ และที่สำคัญ โอทู ก็เป็นจ้าวตลาดอันดับ 1 ในเรื่องเกษตรอินทรีย์ ขณะนี้ความพร้อมของคนไทย เราก้าวหน้าไปจากประเทศเพื่อนบ้าน 10 ปี จึงไม่ต้องกลัวเรื่องการแข่งขัน ถือเป็นเรื่องดี ถือเป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าของเราออกไปจำหน่าย ส่วนอุปสรรคในเรื่องภาษา ภาคเกษตรบางทีอาจไม่มีความจำเป็น ดังนั้น หากตลาดอาเซียนเปิดเมื่อไหร่ โรงงานผลิตก็สามารถรับกำลังผลิตได้เดือนละ 100,000 ขวด วัตถุดิบก็พร้อม ทุกอย่างพร้อมรบหมดครับ...ไม่มีปัญหา..!!

ขอขอบคุณ เนื้อข่าว: หนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราะห์

 
 


อัตราส่วนการใช้โอทูพรีเมี่ยมและโอทูซุปเปอร์พรีเมี่ยมชมที่เว็บไซต์
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ติดต่อ นายโอทู 0884253367
www.misterotwo.com/

 Opp โอทูกับแผนการตลาดใหม่
อธิบายรายละเอียดบริษัทและผลิตภัณฑ์โอทู

 อธิบายแผนการตลาดใหม่ระบบ All Sale 10 % ทั่วประเทศ
ผลิตภัณฑ์สุดยอดเกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพโอทู